คำว่าสปิริต (Spirit) มีหลายความหมาย อาจหมายถึงวิญญาน หรือสุรา หรือสิ่งที่เป็นความรู้สึกภายใน สำหรับบทความนี้ผมขอเจาะจงไปที่ความหมายง่ายๆ ที่เกี่ยวกับสิ่งที่เป็นนามธรรมที่อยู่ภายในไม่สามารถจับต้องได้ คือ คำว่า "น้ำใจ" แต่ถึงแม้จะจับต้องไม่ได้หรือมองไม่เห็นแต่น้ำใจจะส่งผลออกมาเป็นการกระทำหรือพฤติกรรมนั่นเอง โดยผมขอเขียนทับศัพท์ว่า สปิริต ก็แล้วกันนะครับ
บทความนี้ผมได้รับเกียรติจากคุณหมีเพื่อนเก่าแก่ที่ขณะนี้ทำร้านอาหารไทยในกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ ให้ผมช่วยเขียนเกี่ยวกับเรื่องสปิริตในการทำงาน เลยต้องเร่งเขียนเรื่องนี้ก่อนเลยเพราะเป็นท่านแรกที่ขอมาทางไลน์
ในการทำงานหรือปฏิบัติภาระกิจใดๆ ก็แล้วแต่ โดยเฉพาะกิจกรรมที่ต้องมีผู้อื่นเข้ามาเกี่ยวข้อง ซึ่งหนีไม่พ้นเพราะมนุษย์เป็นสัตว์สังคมที่ต้องอยู่กันเป็นชนหมู่มาก กิจกรรมในทุกๆ วันหนีไม่พ้นที่จะต้องเกี่ยวกับผู้อื่น อย่างน้อยๆ ก็ต้องเกี่ยวกับคนใกล้ชิดในครอบครัว ญาติ เพื่อฝูง เพื่อนร่วมงาน ความมีน้ำใจหรือสปิริต เป็นสิ่งที่สำคัญเป็นอย่างยิ่งที่ต้องมีให้แก่กันและกัน การที่ว่ามีมากมีน้อยก็เป็นเรื่องที่พูดกันยาก ผมขอยกตัวอย่างสักเรื่องก่อนนะครับ
Musicians of the RMS Titanic
https://en.wikipedia.org/wiki/Musicians_of_the_RMS_Titanic
ท่านผู้อ่านคงได้ดูภาพยนต์หรืออ่านเรื่องราวเกี่ยวกับการล่มของเรือสำราญ ไทนานิค (Titanic) ที่ชนเข้ากับภูเขาน้ำแข็ง ซึ่งเราจะเห็นว่ามีบุคคลอยู่สองจำพวก คือ หนึ่งผู้ที่ต้องการเอาชีวิตรอดที่ทำได้ทุกอย่าง คือ ในการลำเลียงผู้คนออกจากเรือสำราญลำใหญ่นี้จะต้องใช้เรือลำเล็กที่ติดอยู่กับเรือสำราญ โดยให้ลำดับความสำคัญกับเด็กและสตรีก่อน ด้วยความรักตัวกลัวตาย มีชายคนหนึ่งยอมแต่งกายปลอมตัวเป็นสตรีเพื่อจะได้ลงเรือหนีตายไปก่อน
ในขณะเดียวกันก็มีผู้เล่นดนตรีออเคสตร้าที่บรรเลงให้ความสำราญกับผู้โดยสารที่อยู่บนเรือ ซึ่งยังคงบรรเลงด้วยชีวิตและจิตใจ ขณะผู้คนกำลังสับสนอลหม่านอยู่กับการขนย้ายลงเรือเล็กก่อนที่เรือใหญ่จะจมลงแน่ๆ นักดนตรีเหล่านั้นยังคงบรรเลงอยู่ทั้งที่รู้ว่าตนเองต้องตาย ไม่ยอมหมดใจในการทำหน้าที่ นั่งรอความตาย มีสปิริตทำหน้าที่ของตนเองจนวินาทีสุดท้าย
Many of the survivors said that Hartley and the band continued to play until the very end. One second-class passenger said:
Many brave things were done that night, but none were more brave than those done by men playing minute after minute as the ship settled quietly lower and lower in the sea. The music they played served alike as their own immortal requiem and their right to be recalled on the scrolls of undying fame.
https://en.wikipedia.org/wiki/Musicians_of_the_RMS_Titanic
https://jamescameronstitanic.fandom.com/wiki/Titanic_Orchestra
ที่นี้มาพูดถึงเรื่องสปิริตการทำงานเลยนะครับในชีวิตจริงของเราๆ กัน การทำงานทุกอาชีพจะมีความเฉพาะของแต่ละอาชีพนั้น ซึ่งมีท้้งข้อดีและข้อที่ต้องทำใจหรือยอมรับมันให้ได้ ไม่มีงานใดมีแต่ข้อดีอย่างเดียวและในณะเดียวกันก็ไม่มีงานใดที่มีแต่ข้อต้องให้ทำใจ (ขอไม่พูดว่าเป็นข้อเสียก็แล้วกัน) ถ้าทำอาชีพทหารตำรวจก็มีข้อดีที่ได้เป็นข้าราชการมีเงินเดือนแน่นอน เกษียณแล้วมีเงินบำเหน็ดบำนาญได้ใช้ในบั้นปลายของชีวิตแน่ๆ แต่ต้องทำใจว่าเป็นงานที่เสียงต่ออันตรายจนอาจถึงขั้นอันตรายต่อชีวิต เงินเดือนเริ่มต้นที่น้อยสักหน่อย
ถ้าเป็นนักบินเงินเดือนสูงมาก แต่ก็ต้องรับความเสี่ยงสูงถึงขั้นเสี่ยงกับชีวิตและไม่ใช่แค่ชีวิตของตนเอง แต่รวมถึงชีวิตของผู้โดยสารที่ฝากชีวิตไว้กับนักบินในเที่ยวบินนั้น หรือถ้าเป็นพระสงฆ์ก็มีข้อดีที่มีคนให้ความเคารพนับถือมากมีญาติโยมถวายอาหาร ปัจจัยต่างๆ ให้ แต่ต้องทำใจกับศีลหรือข้อปฏิบัติถึง 227 ข้อ ข้อสำคัญคือมีเมียไม่ได้ ซึ่งต้องยอมทำใจแลกกัน
มาว่ากันตรงๆ กับงานบริการเลยครับ โดยก่อนที่ใครจะทำงานบริการ โดยขอยกตัวอย่างการทำงานบริการในห้องอาหาร ต้องทำความเข้าใจข้อดีและข้อที่ต้องทำใจเช่นเดียวกับอาชีพอื่นๆ เช่นกันคือ
ข้อดี
1. เป็นงานที่มีความเสียงต่ำเมื่อเทียบกับนักบิน ทหาร ตำรวจ หรืองานที่อยู่สภาพที่เสี่ยงเช่น โรงงานที่เสี่ยงต่อมลภาวะ เช่น สารเคมี ไม่เคยมีพนักงานเสิร์ฟเสิร์ฟจนตายคาถาดที่ใช้เสิร์ฟ พนักงานแม่บ้านก็ไม่มีที่เสียชีวิตคาไม้มอปขณะถูพื้น GSA ก็ไม่เคยมีที่ยื่นกุญแจหรือคีย์การ์ดให้แขกจนตายคาเคาน์เตอร์ บาร์เทนเดอร์ก็ไม่มีการตายคากระบอก Shaker กุ๊กเองก็ไม่เคยมีทำงานจนตายคาเขียง (ไปเดี้ยงเพราะกินเหล้าหลังเลิกงานมากกว่า) ยกเว้นกรณีอุบัติเหตุที่เจ้าของสถานประกอบการละเลยเรื่องมาตรฐานความปลอดภัย และไม่เข้มงวดของทางราชการที่มีหน้าที่ตรวจสอบ เช่น ตึกโรงแรมรอยัลพลาซ่าที่โคราชถล่มเมื่อปี 2536, ไฟไหม้โรงแรมรอยัล จอมเทียนพัทยา ปี 2540, ไฟไหม้ซานติก้าผับ ปี 2551
2. รายได้ค่อนข้างดี โดยเฉพาะกับงานโรงแรมหรือภัตตาคาร มีอาหารให้ทานซึ่งจริงอยู่ว่ามักจะเป็นมื้อที่อยู่ระหว่างการทำงาน 1 มื้อ แต่คนที่ทำงานด้านนี้ก็จะมีวิธีการทานตามเทคนิคและฝีมือกันเอาเอง (คนทำงานโรงแรมอยู่แล้วจะรู้ดี) มีเครื่องแบบการทำงาน ต่างจังหวัดมีหอพักให้ เรียกว่าปัจจัยสี่มีไว้ให้แทบครบแถ้วนแล้ว ก็แล้วแต่ว่าจะใช้จ่ายเรื่องส่วนตัวเท่าไรอย่างไร ที่นอกเหนือจากเงินเดือนยังมีทิป ยิ่งถ้าในประเทศตะวันตกยิ่งค่อนข้างมากอยู่ทีเดียว บางภัตตาคารพนักงานใช้เงินทิปอย่างเดียวก็พอกินแล้ว (ถ้าไม่ใช้จ่ายสุรุ่ยสุร่าย)
3. เป็นงานที่อยู้ในสภาพแวดล้อมที่ดี ทั้งบรรยากาศ การใช้ชีวิตและสังคม
4. งานยุ่งเฉพาะบางช่วง มีหนักมีเบา งานเสิร์ฟจะยุ่งมาก็ตอนรับออร์เดอร์ รับแล้ว สั่ง นำมาเสิร์ฟ งานก็ดำเนินไปเรื่อยๆ แล้ว ไม่ยุ่งตลอดเวลาเหมือนงานในโรงงาน
5. ไม่ต้องอ้างอิงกับ "วุฒิการศึกษา" อย่าสับสนปะปนกับคำว่า "การศึกษา" นะครับ วุฒิการศึกษาคือระดับการรับรองว่าจบอะไรในชั้นไหน เช่น ปริญญาตรี การจัดการโรงแรม ซึ่งเรียนจบแล้วได้วุฒิแล้วก็จบกัน แต่การศึกษาคือการเรียนรู้ที่ไม่มีวันจบสิ้น จะมีวุฒิอะไรก็มาทำกันได้ ถ้าใจรักและใฝ่เรียนรู้ ศึกษาจากเนื้องานและการอบรมต่างๆ
มาดูข้อทำใจกับบ้าง (ไม่หลอกกันครับ)
1. เป็นงานที่ต้องทำในวันเวลาที่ผู้ใช้บริการจะใช้บริการ เช่น ช่วงเทศกาล ผู้คนออกจากบ้านมากินมาเที่ยว พนักงานก็ต้องทำงานให้บริการในช่วงเทศกาล หรือแขกทานอาหารก็ตามมื้ออาหารเช่น มื้ออาหารเช้า อาหารกลางวัน อาหารเย็น พนักงานก็ต้องเตรียมตัวไม่ทานอาหารก่อนการทำงานก็ต้องทานหลังการบริการ จะทานอาหารตามเวลาที่แขกจะทานไม่ได้
2. เป็นการทำงานที่ตอบสนองความพึงพอใจของผู้ใช้บริการ จะยึดถือความพอใจของพนักงานไม่ได้ เช่น แขกต้องการทานอาหารไม่เผ็ดก็ต้องทำแบบไม่เผ็ด พนักงานจะบอกว่า "นี่ก็ไม่เผ็ดแล้ว" ตามความเชื่อ ความชอบ และความรู้สึกของพนักงานไม่ได้
3. เป็นงานที่ต้องรักษามาตรฐานตลอดเวลา รสชาติของอาหารต้องคงเส้นคงวา ขั้นตอนของการบริการต้องรักษาความคงเส้นคงวาหรือมาตรฐานเช่นเดียวกัน ไม่ใช่ว่ามาใช้บริการครั้งแรก ทักทาย เอาอกเอาใจเป็นอย่างดี ครั้งต่อไปแขกมาใช้บริการอีกเพราะติดใจการบริการ แต่กลับไม่ทำดีเช่นเดิม
4. เป็นงานที่ต้องต่อสู้กับการต้องการความพึงพอใจของแขกหรือลูกค้าจนบางครั้งล้ำเส้นของกฎกติกาต่างๆ เช่น การอวดอ้างฐานะทางสังคมหรือดื่มแล้วควบคุมอาการตัวเองไม่ได้ ต้องถามพนักงานว่ารู้ไหมว่าตนเองเป็นใครหรือเป็นลูกใคร หรือทำหน้าที่อบรมพนักงานที่ไม่ยอมให้ตนเองลัดคิวเป็นต้น สำหรับการบริการในระบบสากลหรือที่มีมาตรฐานสูงๆ พนักงานก็จะต้องจำลูกค้า รายละเอียดต่างๆ ของลูกค้าที่มาใช้บริการประจำๆ ให้ได้ ใครชอบอะไร ไม่ชอบอะไร เพื่อบริการได้ตรงความต้องการให้มากที่สุดซึ่งก็นับว่าหินพอสมควร แต่สำหรับบางประเทศพนักงานต้องช่วยลูกค้าจำอีกว่าเขาเป็นลูกของใครหรือคุณพ่อของเขาเป็นใคร (ต้องทำใจ)
ก่อนที่จะทำงานบริการโดยเฉพาะการบริการอาหารและเครื่องดื่ม ต้องทำความเข้าใจในเรื่องข้อดีและข้อต้องทำใจให้ดีเสียก่อน จะเลือกรับแต่ข้อดีเช่นอยากได้รายได้มากๆ ทิปเยอะๆ แต่ไม่ยอมรับเงื่อนไขที่ต้องปฏิบัติก็ไม่ได้ เช่น ช่วงเทศกาลที่แขกมาใช้บริการมากซึ่งก็เป็นช่วงทำเงินของธุรกิจร้านอาหาร แต่ขอลาหยุดซะดื้อๆ นอกจากไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขการทำงานที่ควรเป็นแล้วยังแสดงออกถึงความไม่มีสปิริตหรือไร้น้ำใจ คือ ตัวเองจะหยุดแต่คนอื่นต้องทำงาน ดังนั้นต้องแสดงออกถึงสปิริตหรือความมีน้ำใจต่ออาชีพ ต่อแขกลูกค้าที่ใช้บริการ ต่อเพื่อนร่วมงาน และต่อองค์กรที่เราทำงานอยู่
ถ้าทำใจได้ก็ดีเลยครับ แต่ถ้าทำใจไม่ได้ ก็ต้องทำใจให้ได้ (งานไม่ใช่หากันง่ายๆ) ไม่มีงานอะไรมีแต่ข้อดีอย่างเดียว เพียงแต่เราไม่ได้มีโอกาสเข้าไปรู้ลึกเช่นเดียวกันคนที่เขากำลังทำงานนั้นอยู่เท่านั้นเอง
สนใจการอบรมการสร้างสปิริตหรือทัศนคติที่ดีในการทำงาน กรุณาคลิ๊กดูรายละเอียดได้ที่