Written by Nattapol Klanwari
หลายคนคงประสบกับความรู้สึกที่ว่า "ถ้าตอนนั้นเรา........เราคง ได้เป็นอย่างนั้น อย่างนี้" หรือ "ถ้าเราได้เป็น............เราคง........." แต่เหตุการณ์นั้นก็ผ่านไปแล้ว และที่สำคัญนั่นคืออดีตหรือฝันที่ผ่านไปแล้ว แต่ขณะนี้ วินาทีนี้คือความจริงในปัจจุบันที่เป็นอยู่
ผมเห็นการปรารภผ่านเฟสบุ๊คของสมาชิกท่านหนึ่งว่า "ถ้าย้อนเวลาถอยหลังไปได้ แล้วได้รับการแนะนำที่ดี คงได้เข้าเรียนสาขานั้น และป่านนี้คงได้เป็น............ไปแล้ว" เหมือนมีความผิดหวังอยู่นิดๆ และมีเพื่อนๆ ปลอบใจและให้กำลังใจกันเยอะเลย บางคนก็อิจฉาความสามารถและความเป็นอยู่ของเพื่อนคนนี้ด้วยซ้ำไป
ส่วนมากแล้วเรามักมีคำว่า "ถ้า......................." อยู่เป็นจำนวนมาก และหลายคนอาจไม่ค่อยพอใจกับสิ่งที่เป็นอยู่หรือสิ่งที่ทำอยู่ โดยขณะเดียวกันก็มีคนรู้สึกอิจฉาในสิ่งที่คนๆ นั้นเป็นหรือทำอยู่
เรามักมีความอยากหรือความฝันในช่วงเวลาต่างๆ ที่แตกต่างกันไป เช่นในขณะที่เรียนอยู่ชั้นประถมก็มีความชอบหรืออยากเป็นอะไรสักอย่างเมื่อโตขึ้น พอยู่ชั้นมัธยมต้นก็มีความฝันหรือความอยากที่ต่างออกไปอีก จนมัธมปลาย หรือ ในระดับวิทยาลัยหรือมหาวิทยาลัย สำหรับผู้ที่เข้าสู่ระบบการศึกษา แล้วคนที่เขาไม่ได้ผ่านระบบการศึกษาในระดับชั้นต่างๆ เช่นนี้ เช่น จบชั้น ป. 4 หรือบางคนไม่จบ ป. 4 ด้วยซ้ำไปแล้วเขาจะใช้ระดับขั้นอะไรเป็นตัวเปลี่ยนความฝันหรือความคิด น่าสนใจนะครับ
คนที่ใช้ชีวิตอยู่ในชนบทก็อาจมีความคิดว่าอยากเข้ามาอยู่ในเมืองใหญ่ๆ บ้าง อยากมาเห็นแสงสีความเจริญของบ้านเมือง
Image by zephylwer0 from Pixabay
ขณะเดียวกับคนที่ใช้ชีวิตอยู่ในเมืองใหญ่ก็บ่นเบื่อกับความแออัดของชุมชนเมือง อยากไปอยู่ชนบทที่อากาศปลอดโปร่งโล่งสบาย
การทำงานหาเลี้ยงชีพด้วยอาชีพหรือหน้าที่ต่างๆ ก็เช่นเดียวกัน บางคนก็อาจทำงานนั้นไปแต่ใจก็นึกเสียดายว่า ถ้าได้ไปทำงานอย่างอื่นที่ไม่ใช่อย่างนี้ในปัจจุบันก็จะดีและรุ่งมากกว่านี้ บ่นนึกเสียดายไปต่างๆ นานา จนกระทั่งถอดใจ ขาดความตั้งใจในการทำงานหรือหน้าที่ในปัจจุบันที่ทำอยู่
จากการที่คนเราต้นทุนไม่เท่ากัน โอกาสต่างๆ ไม่เท่ากัน แต่ก็ไม่แน่อีก บางคนที่มีต้นทุนดี ความได้เปรียบเพียบพร้อมกลับมีความพอใจในการทำงานที่น้อยกว่าคนที่ต้นทุนต่ำกว่าโอกาสเลือกน้อยกว่าอีก
อย่าว่าแต่เรื่องงานอาชีพเลยครับ ผมเชื่อว่าหลายท่านที่แต่งงานแล้วก็อาจเคยผ่านการรักคนรักอื่นมาก่อนการแต่งงานก็ได้ ขณะนั้นก็ว่าคนนี้แหละที่ใช่ แต่ก็อาจมีปัจจัยทำให้ต้องไม่ใช่ ถ้าจะฟูมฟายอยู่กับอดีตก็คงจะไม่ได้แล้ว ปัจจุบันคือปัจจุบัน (แต่ไม่ต้องไปถามสามีหรือภรรยานะครับว่าเคยมีคนรักก่อนมาแต่งงานกันหรือไม่ เดี๋ยวบ้านแตกขึ้นมาผมไม่เกี่ยวนะครับ ตัวใครตัวมัน)
สำหรับการทำงาน การที่อยากเป็นนั่นเป็นนี่ก็ไม่ใช่เรื่องผิด แต่ข้อสำคัญที่สุดคือขณะนี้เป็นอะไร อาชีพอะไร หน้าที่อะไร ขณะที่กำลังทำอะไรไม่ว่าจะชอบหรือไม่ชอบก็ต้องรับผิดชอบให้ดีที่สุด ให้เต็มกำลังที่สุด แต่ถ้าทำงานในปัจจุบันที่เป็นอยู่ แต่ใจไปคิดแต่อยากเป็นสิ่งอื่น งานที่ออกมาในปัจจุนก็จะไม่มีคุณภาพ เพราะใจไม่จดจ่อกับรายละเอียดที่ต้องทุ่มเท แก้ปัญหาหรือปรับปรุงให้ดีขึ้น
ดังนั้นบางครั้งจากความรักก็ต้องปรับเป็น "ความรับผิดชอบ" ทำสิ่งที่กำลังทำให้ดีที่สุด แล้วผลของงานนั้นก็ส่งให้ไปหรือเป็นในสิ่งที่ดีขึ้นตามเหตุที่ทำไป
- ขณะอธิบายรายละเอียดต่างๆ ให้ลูกค้า อธิบายให้ดีที่สุด
- ขณะยื่นกุญแจห้องให้แขก ยื่นให้ดีที่สุด
- ขณะเปิดประตูให้ลูกค้า ทำให้ดีที่สุด
- ขณะตรวจเช็คสต๊อก ก็ตรวจเช็คให้ดีที่สุด
- ขณะสอนงานพนักงาน สอนให้ดีที่สุด
- ขณะล้างผัก ล้างให้ดีที่สุด
- ขณะนวดแป้ง นวดให้ดีที่สุด
- ขณะย่างสเต็ก ย่างให้ดีที่สุด
- ขณะรินน้ำให้แขก รินให้ดีที่สุด
- ขณะเก็บจานออกจากโต๊ะ เก็บให้ดีที่สุด
- ขณะล้างห้องน้ำ ล้างให้ดีที่สุด
- เย็บหนัง เย็บให้ดีที่สุด
- ขณะรีดผ้า รีดให้ดีที่สุด
- ขณะล้างจาน ล้างให้ดีที่สุด
- หรือแม้แต่นักศึกษาที่ขณะนี้กำลังเรียนวิชาอะไรอยู่ ก็ตั้งใจเรียนให้ดีที่สุด
- ฯลฯ
สิ่งที่เกิดขึ้นจากการทำให้ดีที่สุดของงานนั้นๆ (Core Competency) ที่มีติดตัว คือ ความเอาจริงเอาจัง ความทุ่มเท ความรอบคอบ ความประณีต ความพยายาม ฯลฯ ซึ่งก็คือทัศนคติที่จะนำไปทำกับงานอื่น ตำแหน่งอื่น หรือสถานที่ทำงานอื่นต่อไป เสมือนฝึกไว้ก่อนนั่นเอง ซึ่งไม่ว่างานอะไร ตำแหน่งอะไรก็ต้องการคุณสมบัติเหล่านี้ด้วยกันทั้งนั้น
สามารถดูความหมายของทัศนคติในแง่มุมต่างๆ ได้ที่ https://trainingreform.com/index.php/training-blog/272-training-blog-158
ถ้ารักที่จะเป็น Steward บนเครื่องบินแต่ไม่ได้เป็น หรือเป็นไม่ได้ ก็เป็น Steward ล้างจานในโรงแรมก็ได้ครับ ยังไงก็เรียก Steward เหมือนกัน