การใช้บริการต่างๆ ที่ลูกค้าได้รับจากพนักงานไม่ว่าจะเป็นในโรงแรม ห้องอาหาร ภัตตาคาร รถแท็กซี่ หรือจ้างทำงานต่างๆ เช่น ซ่อมแซมสิ่งเล็กๆ น้อยๆ หรือการส่งของ เช่น การส่งอาหารถึงบ้าน นำรถไปจอดและนำรถมาให้ลูกค้า หรือแค็ดดี้ที่ทำหน้าที่ถือถุงกอล์ฟและดูแลนักกอล์ฟขณะออกรอบเล่นกอล์ฟ ลูกค้าก็มักจะให้เงินพิเศษนอกเหนือจากราคาสินค้า ที่เรียกง่ายๆ ว่า ทิป (TIPS)
คำว่าทิปมาจากภาษาอังกฤษที่เรียกกันมา บางข้อมูลก็จะอธิบายว่าเป็นอักษรย่อจากคำต่างๆ มากมายแต่ไม่มีหลักฐานยืนที่อ้างอิงได้จึงไม่ขอพูดถึงแง่มุมของภาษาแต่จะกล่าวถึงในการทำงานบริการดีกว่า
ทิปเป็นการให้รูปแบบของเงินนอกเหนือจากราคาสินค้าหรือบริการหลักที่ลูกค้าใช้บริการ เมื่อเสร็จสิ้นการให้บริการ มีความหมายว่า “ขอบคุณสำหรับการทำงานแทนฉันในเรื่องนี้” มีรูปแบบการให้ทิปหลายลักษณะ เช่น
- ให้เป็นเงินสดกับพนักงานผู้ให้บริการโดยตรง
- ใส่กล่องที่จัดเตรียมไว้ให้ลูกค้าใส่ ที่มักเขียนให้ลูกค้าเห็นว่า Tips Box
- เขียนในใบเรียกเก็บเงิน (Check หรือ Bill) ที่พนักงานนำมายื่นให้ เช่น ถ้าราคาอาหาร 500 บาท ลูกค้าอาจเขียนว่า Tips 20% หรือเขียนเป็นจำนวนเงินสด 100 บาท ถ้าในประเทศอเมริกาก็จะมีช่องให้ลูกค้าเขียนโดยเฉพาะว่าทิปเท่าไร
- ถ้าเป็นเครื่องเสียบบัตรเดบิตหรือบัตรเครดิต ก็จะมีปุ่มให้เลือกกดว่ากี่ % หรือกี่เหรียญ
แต่ละประเทศจะมีธรรมเนียมปฏิบัติเกี่ยวกับการจ่ายเงินทิปที่ไม่เหมือนกัน (ขออนุญาตกล่าวถึงประเทศที่มีประสบการณ์ได้สัมผัสโดยตรง) เช่น
- ประเทศในยุโรป อเมริก และแคนาดา จะเป็นธรรมเนียมปฏิบัติที่รู้กันว่าต้องให้ทิปหลังจากทานอาหารในร้านอาหาร โดยทั่วไปก็ประมาณ 15 – 20% เช่นถ้าทานอาหาร 1,000 บาท (หลังจากรวมภาษีมูลค่าเพิ่มแล้ว) ต้องให้ทิปอีกประมาณ 150 – 200 บาท มากกว่า 20% แต่ถ้าน้อยกว่า 15% พนักงานก็จะรู้สึกว่าเขาทำงานบริการไม่ดี (จริงๆ ก็คือหวังทิปนั่นแหละ) และถ้าลูกค้าไม่ให้ทิป พนักงานก็อาจมีการทวงทั้งแบบตรงๆ หรืออ้อมๆ โรงแรมบางแห่งขนาดมีอาหารเช้ารวมกับค่าห้องแล้ว หลังจากทานอาหารเช้าแล้วไม่ต้องกังวลเรื่องจ่ายเงินหรือเซ็นบิล พวกยังมีแผ่นกระดาษยื่นให้อีกว่าหากพอใจในการบริการสามารถระบุจำนวนทิปเพื่อชาร์จเข้าห้องพักโดยตรง 5555
- ประเทศญี่ปุ่นเดิมไม่มีธรรมเนียมเรื่องการให้ทิป บางครั้งลูกค้าวางทิปไว้ให้พนักงานถึงกลับวิ่งนำไปคืนแจ้งกับลูกค้าว่าลืมเงินทอนด้วยซ้ำ แต่ในปัจจุบันเมื่อมีนักท่องเที่ยวต่างชาติไปเที่ยวประเทศญี่ปุ่นมากขึ้นและก็มักจะให้ทิป จึงกลายเป็นว่าขณะนี้ก็เริ่มมีการให้ทิปกันบ้างแล้ว
- สำหรับประเทศไทย มักจะเป็นสถานที่บริการที่มีนักท่องเที่ยวชาวต่างประเทศที่มีเรื่องของทิป และคนไทยที่เคยใช้ชีวิตในต่างประเทศมาก็มักจะให้ทิป สำหรับธุรกิจสนามกอล์ฟก็เป็นธรรมเนียมที่รู้กันคือต้องให้ทิปกับแค็ดดี้ของแต่ละคนโดยทั่วไปก็เท่ากับค่าธรรมเนียมแค็ดดี้ (Caddie Fee) เช่นค่าธรรมเนียมแค็ดดี้ 400 บาท ก็จะให้ทิปอย่างน้อยไม่น้อยกว่า 400 บาทเป็นต้น ถ้าแค็ดดี้ปฏิบัติงานได้อย่างถูกใจมากก็ให้มากขึ้นอีก (แต่ไม่ถูกใจคุณแม่บ้านที่บ้าน)
- บางแห่งก็จะรวมทิปไว้ในการสรุปยอดเงินรวมแล้ว ซึ่งจะระบุในด้านล่างของเมนูให้เห็น
สิ่งที่ต้องการระบุในเรื่องนี้คือ ธรรมเนียมการให้ทิปมีความแตกต่างกันออกไปตามแต่ละประเทศ ซึ่งในความหมายจริงๆ แล้วคือการให้เพื่อขอบคุณที่ทำงานต่างๆ แทนให้ลูกค้า โดยลูกค้าไม่ต้องทำเอง เช่น ถ้าลูกค้าไปทานอาหาร มีพนักงานเตรียมโต๊ะอาหารให้ ทำอาหารให้ นำมาเสิร์ฟให้ เก็บงานให้ ล้างจานให้ นี่คือความหมายที่แท้จริง ซึ่งถ้าลูกค้าไม่ให้ก็ไม่สามารถฟ้องร้องได้เพราะไม่ใช่กฎหมาย ดังนั้นพนักงานพึงระลึกไว้เสมอว่าไม่ว่าจะได้ทิปหรือไม่ก็ตาม ต้องทำหน้าที่บริการให้ดีทุกขณะ ถ้าได้ก็ดี ถ้าไม่ได้ก็ไม่เป็นไร อย่างน้อยยังมีลูกค้ามาใช้บริการให้ได้มีงานทำ ถ้าคิดเช่นนี้เราจะไม่ตั้งคาดหวังว่าต้องได้
ถ้าเราตั้งความหวังไว้แล้วถ้าไม่ได้หรือได้น้อยก็จะทำให้การบริการจบลงอย่างไม่สง่างาม
นี่ก็เป็นส่วนหนึ่งที่มีข้อปฏิบัติไม่ให้พนักงานบริการที่ให้บริการลูกค้า เช่น ในโรงแรม ภัตตาคาร ใส่เครื่องประดับหรือใช้สิ่งของประจำตัวที่หรูหราแพงเกินความจำเป็น เช่น แขกถามว่า ตอนนี้กี่โมง ปรากฎว่าพนักงานดึงแขนเสื้อขึ้นหน่อยแล้วยื่นนาฬิกาข้อมือให้แขกดูเวลา แทนที่จะดูที่เวลาแต่กลับเป็นการโชว์ Patek Philippe แล้วอย่างนี้แขกคนไหนอยากจะให้ทิปละครับ
แขก : "หนูชื่อะไรครับ"
พนักงาน : "อ๋อ หนูชื่อทิปค่ะ อย่าลืมทิปทุกครั้งที่ใช้บริการนะคะ"