Written by : Nattapol Klanwari
วิธีการเรียนรู้หรือ Learning สามารถมีด้วยกันมากมายหลากหลายวิธีและหนึ่งในวิธีเหล่านั้นคือวิธี "ครูพักลักจำ" ซึ่งมักจะมีการใช้กันมาก ซึ่งก็อาจจะมาจากการที่ผู้สอนหวงวิชาจึงทำให้ผู้เรียนต้องพยายามลักดูหรือจดจำเอาเอง ซึ่งก็นับว่ามีประโยชน์อยู่แต่ในขณะเดียวกันการเรียนรู้วิธีนี้ก็ต้องระมัดระวังผลที่อาจตามมาด้วย
ในอดีตสถาบันการเรียนการสอนยังไม่แพร่หลายมาก จะเรียนรู้อะไรก็ต้องไปฝากตัวเป็นลูกศิษย์ของผู้ที่มีความรู้ความสามารถในเรื่องที่ผู้เรียนต้องการรู้หรือทำได้ ถ้าได้ผู้สอนหรือที่เรียกว่าอาจารย์ไม่หวงวิชาก็โชคดีไป ได้เรียนรู้อย่างเต็มที่ ได้ฝึกฝน ได้รับการชี้แนะ ได้รับการบอกกล่าวถึงเหตุผลว่าทำไมต้องทำอย่างนั้น เพราะอะไร ถ้าไม่ทำอย่างนี้แล้วจะมีผลอย่างไร แต่ถ้าได้ผู้สอนหรืออาจารย์ที่หวงวิชา ผู้เรียนก็จะได้เพียงแค่ทำตามไปอย่างไม่รู้ที่มาที่ไป โดยเฉพาะในสังคมตะวันออกที่มักไม่ค่อยมีการเปิดเผยถึงรายละเอียดที่ลึกซื้ง เป็นหน้าที่ของผู้เรียนที่จะต้องสังเกตเอาเอง ผู้เรียนก็ต้องใช้วิธี ครูพักลักจำ
โดยทั่วไปแล้วหลักการหรือหลักทฤษฎี (Theory) ที่เขียนหรือกำหนดไว้ก็จะมาจากผลของการปฏิบัติกันบ่อยๆ (Practice) จนได้ผลในระดับหนึ่งแล้วจึงเขียนหรือบัญญัติวิธีการนั้นเป็นหลักทฤษฎี ถ้ามีการทดลองหรือค้นพบวิธีการใหม่ที่ดีกว่าก็จะมีการแก้ไขหรือปรับหลักทฤษฎีนั้นกันต่อไปเรื่อยๆ
ประเทศฝั่งตะวันตกมักจะเป็นประเทศที่มีการกำหนดหลักทฤษฎีให้คนรุ่นหลังได้เรียนรู้กันค่อนข้างมาก เรียกว่าไม่หวงวิชากัน จึงทำให้เกิดสิ่งประดิษฐ์หรือนวัตกรรมที่ใหม่ๆ เกิดขึ้นมาเรื่อยๆ ประเทศที่หวงวิชาความรู้กันมักไม่ค่อยมีนวัตกรรมใหม่ๆ ออกมาเท่าไร และก็ต้องเป็นเพียงแค่ผู้ใช้และและผู้ชื้อนวัตกรรมของประเทศฝั่งตะวันตกกันเป็นส่วนมาก
การใช้วิธี ครูพักลักจำก็มีประโยชน์อยู่เหมือนกันคือ ผู้เรียนจะได้ใฝ่หาความรู้และเทคนิค ฝึกเป็นนักสังเกตจดจำและประยุกต์ ซึ่งก็อาจจะเป็นเทคนิดของผู้สอนนั้นๆ (หรือเป็นข้ออ้างในการหวงวิชาก็ไม่ทราบ) การใช้วิธี ครูพักลักจำ ก็จะมีข้อที่ต้องระมัดระวังด้วยเหมือนกัน เพราะคำพูดก็บอกอยู่แล้วผลท้ายสุดก็คือเพียงแค่ "จำ" ดังเช่นที่เรามักพูดกันว่าระบบการศึกษาของบางประเทศเน้นการจำ ซึ่งทำให้ขาดเหตุผลและการการคิดวิเคราะห์
บางเรื่องการการจำเพียงอย่างเดียวอาจก่อให้เกิดความเสียหายหรืออันตรายได้ เช่น การที่เห็นช่างไฟเขาเดินสายไฟในอาคารเราก็จำแบบสายไฟที่เห็นไปทำเองที่บ้าน ถ้าเราไม่มีความรู้ประกอบก็อาจเกิดอันตรายและความเสียหายได้
สายไฟที่ใช้ทั้งที่ใช้เดินสายไฟในบ้านหรือแม้แต่สายไฟต่อพ่วงหรือที่เรียกว่าปลั๊กต่อพ่วง ต้องมีพื้นฐานที่เกี่ยวข้องอื่นๆ อีก เช่น เรื่องแรงดันไฟฟ้าหรือแรงเคลื่อนไฟฟ้าที่มีหน่วยวัดเป็นโวลต์ (Volt) เรื่องกระแสไฟที่มีหน่วยวัดเป็นแอมแปร์ (Ampare) เรื่องของพลังงานไฟฟ้าที่เครื่องใช้ไฟฟ้าแต่ละชนิดต้องใช้ที่มีหน่วยวัดเป็นวัตต์ (Watt) คำนวณออกมาแล้วจึงจะเลือกใช้สายไฟที่เหมาะสมกับการใช้งานนั้นๆ ถ้าขนาดเล็กเกินไปก็จะทำให้สายไฟไหม้ได้ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งที่เรามักได้ยินว่าไฟไหม้เนื่องจากไฟฟ้าลัดวงจร แต่ถ้าเผื่อขนาดใหญ่ๆ เกินความจำเป็นก็สิ้นเปลืองไปโดยเปล่าประโยชน์เป็นต้น
ส่วนที่เกี่ยวกับไฟฟ้าเป็นตัวอย่างด้านเทคนิคที่เกี่ยวข้องกับอันตรายที่อาจทำให้ถึงแก่ชีวิตหรือความเสียหาย ที่นี้เราลองมาดูตัวอย่างที่อาจจะไม่ถึงอันตรายหรือความเสียหายมากมายแต่สะท้อนถึงความเป็นมืออาชีพจริง เช่น การประกอบอาชีพขายอาหารไทย โดยเฉพาะส่วนประกอบของเครื่องแกงที่นับว่าเป็นหัวใจของอาหารไทยซึ่งในปัจจุบันก็มักมีเครื่องแกงสำเร็จรูปขายที่ทั้งสะดวกและง่ายต่อการปรุง เพื่อให้ลูกค้าต่างชาติเข้าใจง่ายๆ ก็เพียงแค่ใช้คำง่ายๆ เช่น ที่ปรากฎที่ข้างกระป๋องในรูป
ทีนี้เราลองมาดูน้ำพริกแกงแบบเต็มรูปแบบกันนะครับเกี่ยวกับส่วนประกอบของเครื่องเทศสดของแกงหลักไทย โดยผมอ้างอิงที่มาจาก ขุมทรัพย์แผ่นดิน (Treasure of the Kingdom) ตำหรับแกงไทย สภาสตรีแห่งชาติ ในพระบรมราชินูปถัมภ์
นี่แค่เครื่องแกงนะครับ มีความแตกต่างหลากหลาย ที้งนี้ยังไม่รวมเรื่องคุณสมบัติของเครื่องเทศแต่ละชนิด การเตรียม การหั่น การปอก การโขลก การตำ การบด การทุบ ฯลฯ วัตถุดิบ ผักต่างๆ เนื้อสัตว์ต่างๆ ส่วนผสมอื่นๆ การปรุง การจัดเตรียมเครื่องเคียง การจัดสำรับ การรับประทานอะไรควรไปกับอะไร ลำดับการรับประทาน อีกมากมายหลายกระบวนการ
ดังนั้นการจะอาศัยเพียงแค่ครูพักลักจำเพียงอย่างเดียวซึ่งก็มีส่วนดีอยู่ แต่ดูแล้วจะยังไม่พอเพียงต่อการเป็นมืออาชีพ ทั้งนี้ไม่ใช่เฉพาะเรื่องตามตัวอย่างเรื่องไฟฟ้าและอาหารไทยนะครับ ทุกแขนงอาชีพต่างมีรายละเอียดที่แตกต่างกันไป การที่จะทำอาชีพอย่างมืออาชีพ (หาเงินเลี้ยงตัวเองด้วยอาชีพนั้น) ไม่ใช่แค่ทำแบบสมัครเล่น ก็ต้องขวนขวายหาความรู้ ความชำนาญ ทักษะและเทคนิคเพิ่มเติม จะโดยจากครูบาอาจารย์ จากการอ่าน และยิ่งในปัจจุบันที่อินเตอร์เน็ตมีพรั่งพร้อมแทบทุกอย่าง ก็ช่วยให้เราหาความรู้ต่างๆ ได้อย่างไร้ขีดจำกัด แต่ต้องมั่นใจให้ได้นะครับว่าเป็นความรู้ที่มีแหล่งอ้างอิงได้ มิเช่นนั้นก็จะเป็นการเชื่อตามคำบอกเล่าของคนอื่นแบบไม่มีหลักฐาน กลายเป็นแหล่งที่มาจาก "ครูพักลักจำ" ซ้ำเข้าไปอีก อันจะเป็นอุปสรรค์ต่อการพัฒนาหรือต่อยอดในอนาคต